เนื่อง
จากเป็นบุตรหัวปีจึงต้องช่วยพ่อแม่ทำนาและเลี้ยงแกะ เมื่ออายุได้ 13 ปี
ได้เป็นลูกจ้างในฟาร์มแห่งหนึ่ง และได้พิสูจน์ให้นายจ้างเห็นว่า
ท่านเป็นคนขยันและมีน้ำใจดี
ท่านมีความปรารถนาที่จะบวชเป็นพระสงฆ์ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
แม้จะมีอุปสรรคต่างๆ ในการดำเนินชีวิตเพื่อติดตามกระแสเรียก
แต่ด้วยความอดทน กล้าหาญ และมั่นคง ไม่มีสิ่งใดจะยับยั้งท่านไว้ได้ ในปี
ค.ศ.1819 หลังจากจบชั้นมัธยมแล้ว
ท่านได้เข้าศึกษาปรัชญาและเทวศาสตร์ที่บ้านเณรใหญ่ในเมืองดักซ์
เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ.1823 มีคาแอล ได้รับศีลบวชเป็นพระสงฆ์ที่อาสนวิหารเมืองบายอน
ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดกัมโบ 2 ปี ในปี ค.ศ.1825
เป็นอาจารย์สอนปรัชญาที่บ้านเณรใหญ่เบธาราม
ซึ่งเป็นที่รู้จักดีว่าเป็นสถานที่จาริกแสวงบุญ ปี ค.ศ.1831
ท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นอธิการใหญ่ ในปี ค.ศ.1833
พระสังฆราชได้ย้ายบ้านเณรใหญ่ไปยังเมืองบายอน คุณพ่อมีคาแอล
ก็ยังอยู่รับผิดชอบงานอภิบาลสัตบุรุษด้วยความศรัทธาและกระตือรือร้น
ขณะเดียวกันก็ได้เป็นจิตตาธิการของอารามภคินีไม้กางเขนที่เมืองอีกอร์
ซึ่งอยู่ห่างจากเบธารามประมาณ 4 กม.
ในช่วงนี้เองที่ท่านรู้สึกว่าพระทรงเรียกท่านให้ตั้งคณะใหม่เพื่อช่วย
เหลือวิญญาณคริสตชนที่ศรัทธาและถูกทอดทิ้ง ไม่มีคนเอาใจใส่
โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญในการตั้งคณะพระสงฆ์
ที่เปรียบเสมือนกองทัพทหารกองหนึ่งที่เคลื่อนที่ได้เสมอตามความต้องการของ
พระสังฆราช พร้อมที่จะไปในทุกแห่งที่ถูกเรียกไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งไปทำงานที่ยากๆ ที่คนอื่นไม่อยากทำ
เดือน
ตุลาคม ค.ศ.1835 ที่ เบธาราม พระสงฆ์กลุ่มเล็กๆ จำนวน 6 องค์ และศิษย์ของ
คุณพ่อมีคาแอลอีก 5 คน ได้พร้อมใจเลือกท่านเป็นอธิการองค์แรกของคณะฯ
ท่านได้เป็นผู้นำ ผู้ให้กำลังกาย กำลังใจและผู้ให้การอบรม
ความกระตือรือร้นในจิตใจของสมาชิกที่ได้มาอยู่กับท่าน
ในระยะแรกพระสงฆ์คณะเบธารามมีบทบาทในการเทศน์ และอภิบาลสัตบุรุษเป็นหลัก
ปี ค.ศ.1837 คุณพ่อมีคาแอล ได้เห็นความสำคัญในการอุทิศตนแก่การอบรมเด็กและเยาวชน จึงได้เปิดโรงเรียนแห่งแรกขึ้น เพื่อจะให้การศึกษาแก่เด็กได้ทั้งร่างกายและวิญญาณ จนถึงปี ค.ศ.1841 พระสงฆ์คณะเบธาราม ได้ตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า “คณะสงฆ์พระหฤทัยของพระเยซูเจ้าแห่งเบธาราม” นับแต่นั้นมาก็มีคนสมัครเข้าคณะเรื่อยมา
ปี ค.ศ.1837 คุณพ่อมีคาแอล ได้เห็นความสำคัญในการอุทิศตนแก่การอบรมเด็กและเยาวชน จึงได้เปิดโรงเรียนแห่งแรกขึ้น เพื่อจะให้การศึกษาแก่เด็กได้ทั้งร่างกายและวิญญาณ จนถึงปี ค.ศ.1841 พระสงฆ์คณะเบธาราม ได้ตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า “คณะสงฆ์พระหฤทัยของพระเยซูเจ้าแห่งเบธาราม” นับแต่นั้นมาก็มีคนสมัครเข้าคณะเรื่อยมา
ใน ช่วงแรกคณะทำงานรับใช้พระศาสนจักร ในเขตสังฆมณฑลบายอนเป็นส่วนใหญ่ คุณพ่อมีคาแอล มีความคิดที่จะให้คณะของท่านรับใช้พระศาสนจักรที่อื่นด้วย ในปี ค.ศ. 1856 พระสังฆราชแห่งบัวนอสไอเรส (ประเทศอาร์เจนตินา) ได้ขอให้ท่านส่งพระสงฆ์ไปช่วยดูแลกลุ่มคริสตชน ท่านเห็นว่าเป็นน้ำพระทัยของพระ จึงตอบสนองความต้องการโดยจัดส่งสมาชิกของคณะกลุ่มแรกจำนวน 6 คน ไปช่วยงานด้านเทศน์สอนและยังเปิดโรงเรียนเพื่ออบรมเยาวชนด้วย คุณพ่อมีคาแอลได้ส่งพระสงฆ์ไปช่วยงานตามที่ต่างๆได้ แต่ท่านได้ติดตามผลงานและให้กำลังใจเสมอมา ท่านกล่าวไว้ว่า “เมื่อกิจการอันหนึ่งเป็นกิจการที่พระเป็นเจ้าทรงพระประสงค์แล้ว เราต้องลงมือทำและทำต่อไปโดยไม่ย่อท้อ แม้กิจกรรมนั้นจะประสบอุปสรรคอย่างร้ายแรงที่สุด” ท่านได้ดูแลเอาใจใส่พระสงฆ์ที่ร่วมงานกับท่านจนวาระสุดท้าย “สวรรค์น่ะฉันไต่ขึ้นไปให้ถึงทีเดียว” ท่านเคยพูดไว้เมื่ออายุ 7 ขวบ และเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ.1863 ท่านได้พักผ่อนอย่างสงบในสวรรค์ และใน วันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ.1923 ท่านได้รับประกาศเป็นบุญราศี อัศจรรย์ในคุณความดีของท่านยังเกิดต่อไปจนถึงวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 1947 สมเด็จพระสันตะปาปา ปีโอที่ 12 ได้สถาปนาท่านเป็น “นักบุญมีคาแอล การิกอยส์”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น